วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

❀ เส้นทางสายไหม (Silk Road)

     คำว่า "เส้นทางสายไหม" หรือ "Silk Road" เพิ่งถูกเรียกอย่างเป็นทางการในกลางศตวรรษที่ 19 โดยนักปราชญ์ชาวเยอรมัน ชื่อว่า Baron Ferdinand von Richthofen เขาเป็นผู้บัญญัติชื่อนี้ขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับ ถึงแม้จะมีคนพยายามเรียกเป็นอย่างอื่น อย่างเส้นทางหยก เส้นทางอัญมณี เส้นทางพุทธศาสนา เป็นต้น  เส้นทางนี้ เริ่มจากทางตะวันออกที่เมืองฉางอันหรือซีอันในปัจจุบันของประเทศจีนไปสิ้น สุดที่ยุโรป ณ เมืองคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) สินค้าที่มีชื่อเสียง คือ ผ้าไหมจีน, แก้ว, เพชรพลอย, เครื่องเคลือบดินเผา, พรม เป็นต้น แต่เส้นทางนี้ก็ได้ถูกเลิกใช้ไปเพราะเกิดสงคราม 
      
     เส้นทางสายไหมที่ผู้คนกล่าวถึงบ่อย ๆ นั้น หมายถึง เส้นทางบกที่จางเชียนในสมัยซีฮั่นของจีนสร้างขึ้น เส้นทางนี้เริ่มจากทางตะวันออกที่เมืองฉางอันหรือซีอันในปัจจุบันของประเทศจีนไปสิ้นสุดที่ทางทิศตะวันตกของกรุงโรม ระยะทางทั้งหมดถึง 7,000 กิโลเมตร และ เส้นทางกว่า 5,000 กิโลเมตร ในจำนวนดังกล่าวนั้นอยู่ในดินแดนของประเทศจีน ดังนั้น แสดงให้เห็นว่าเส้นทางสายไหม เส้นทางหลัก ๆ นั้นจะอยู่ในประเทศจีน เส้นทางบกสายนี้มีเส้นทางแยกสาขาเป็นสองสายไปทางทิศใต้และทางทิศเหนือของจีนและจากเมืองหลักของแต่ละเส้นทางจะมีเส้นทางแยกย่อยออกไปเหมือนเครือข่ายใยแมงมุม ซึ่งมีการแปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาหรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง, วัฒนธรรมในแต่ละยุค เส้นทางทิศใต้จากเมืองตุนหวงไปสู่ทางตะวันตกโดยออกทางด่านหยางกวนผ่านภูเขาคุนหลุนและเทือกเขาชงหลิ่นไปถึงต้าเย่ซื่อ ( แถวซินเจียงและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถานในปัจจุบัน ) อันซิ ( อิหร่านในปัจจุบัน ) เถียวซื่อ ( คาบสมุทรอาหรับปัจจุบัน) ซี่งอยู่ทางตะวันตก ไปถึงอาณาจักรโรมัน 

คาราวานสินค้า บนเส้นทางสายไหม
     ส่วนเส้นทางทิศเหนือจากเมืองตุนหวงไปสู่ทางตะวันตกโดยออกด่านอวี้เหมินกวน ผ่านเทือกเขาด้านใต้ของภูเขาเทียนซานและเทือกเขาชงหลิ่น ผ่านต้าหว่าน คางจวี ( อยู่ในเขตเอเซียกลางของรัสเซีย ) แล้วไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ สุดท้ายรวมกันกับเส้นทางทิศใต้ เส้นทางสองสายนี้เรียกว่าเส้นทางสายไหมทางบก” นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางสายไหมอีกสองสายซึ่งน้อยคนจะทราบ สายหนึ่ง คือ เส้นทางสายไหมทิศตะวันตกเฉียงใต้เริ่มจากมณฑลเสฉวนผ่านมณฑลยูนนานและแม่น้ำอิรวดีจนถึงจังหวัดหม่องกงในภาค เหนือของพม่า ผ่านแม่น้ำชินด์วินไปถึงมอพาร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย จากนั้น เลียบแม่น้ำคงคาไปถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียไปถึงที่ราบสูงอิหร่าน เส้นทางสายไหม อีกสายหนึ่ง คือ นั่งเรือจากนครกวางเจาผ่านช่องแคบหม่านล่าเจีย ( ช่องแคบมะละกาในปัจจุบัน ) ไปถึงลังกา ( ศรีลังกาในปัจจุบัน ) อินเดียและอัฟริกาตะวันออก เส้นทางนี้ได้ชื่อว่า เส้นทางสายไหมทางทะเลวัตถุโบราณจากโซมาลีที่อัฟริกาตะวันออกยืนยันว่า เส้นทางสายไหมทางทะเลสายนี้ปรากฎขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งของจีน
ร่องรอยอารยธรรมที่หลงเหลือบนเส้นทางสายไหม
ประวัติความเป็นมาของเส้นทางสายไหม

     เส้นทางสายไหม เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น ในรัชสมัยของฮั่นอู่ตี้ ในสมัยนั้นอาณาจักรฮั่นถูกพวกชนเผ่าเร่ร่อนที่มีชื่อว่า "ซงนู๋" รุกรานอยู่บ่อย ๆ ฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้จึงส่งขุนนางผู้มีชื่อว่า "จางเชียน" ไปเจริญสัมพันธ์กับแคว้นต่าง ๆ ทางตะวันตกเพื่อชักชวนให้แคว้นเหล่านั้นหันมาเป็นพันธมิตรต่อต้านการรุกรานของพวกซงนู๋ด้วยกัน แต่ระหว่างเดินทางนั้น จางเชียน ถูกพวกซงนู๋จับตัวและถูกกักขังไว้เป็นเวลาร่วมสิบปี แต่สุดท้ายจางเชียนก็สามารถหลบหนีออกมาได้ ซึ่งเขาก็ไม่ลืมภาระที่ได้รับมอบหมายและมุ่งหน้าสู่เอเชียกลาง แต่ขณะนั้นบรรดาแคว้นต่างๆ ล้วนพอใจกับสถานะที่เป็นอยู่ไม่มีใครยอมร่วมเป็นพันธมิตร เท่ากับว่าจางเชียนคว้าน้ำเหลวอย่างสิ้นเชิงในภารกิจที่ได้รับมอบหมายแต่เขา ก็สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส จางเชียนจดบันทึกข้อมูลทั้งหลายตลอดเส้นทางเกี่ยวกับทางภูมิศาสตร์ วิถีชีวิต การค้าการขายต่าง ๆ ถวายแด่ฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้ เพื่อแปลงสนามรบเป็นสนามการค้า

ร่องรอยอารยธรรมบนเส้นทางสายไหม
     หลังจากนั้นอาณาจักรฮั่นก็ส่งสินค้าไปค้าขายกับทางตะวันตก สินค้าที่ขึ้นชื่อในยุคนั้น คือ ผ้าไหม ซึ่งเป็นที่ชื่น ชอบของพวกชาวเปอร์เซียและโรมัน แต่การค้าผ้าไหมใน ยุคของฮั่นอู่ตี้ก็ไม่ได้ทำกำไรอะไรมากมายนัก จนเมื่อพวกชาวโรมันเกิดพิสมัยผ้าไหมอย่างมาก ( สังเกตได้จากรูปปั้นผู้หญิงของโรมันจะนุ่งผ้าไหมที่ พลิ้วสวย ) ถึงกับนำเอาทองคำมาแลกกับผ้าไหมเลยทีเดียว ดังนั้น ในเวลาต่อมาการค้าบนเส้นทางสายไหมนี้จึงประกอบด้วย ผ้าไหมถึง 30 เปอร์เซ็นเลยทีเดียว

ร่องรอยอารยธรรมบนเส้นทางสายไหม
      เส้นทางสายไหมโบราณเส้นนี้รุ่งเรืองถึงจุดสูงสุด ในกลางศตวรรษที่ 8 แห่งคริสตกาล เส้นทางนี้ เปรียบเสมือน ทางด่วนข้อมูลสารสนเทศในยุคนั้นเลยทีเดียว การแลกเปลี่ยนข่าวสาร วัฒนธรรม รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีในการผลิตกระดาษ, ดินระเบิด, เข็มทิศ รวมถึงลูกคิดซึ่งกลายเป็นต้นแบบของการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นเทคโนโลยีของจีนที่ถูกถ่ายทอดไปสู่ตะวันตก ในยุคนั้นผ่านทาง เส้นทางสายไหมขณะเดียวกันศาสนาพุทธจากอินเดียก็อาศัยส้นทางสายไหมนี้เขาสู่เอเชีย ทั้งจีน เกาหลี พม่า ลาว เวียตนาม กัมพูชา และไทย เช่นเดียวกัน ชาวเปอร์เซียที่นำเอาศาสนาอิสลามเข้ามา


     ตอนหลังเส้นทางทางบกถูกเลิกใช้ไปเพราะเกิดสงคราม เหล่าคาราวานจึงพยายามเลี่ยงเส้นทางนี้ เส้นทางทางบกจึงถึงจุดเสื่อมสลายในที่สุด เส้นทางการค้าทางทะเล กลับเพิ่มมากขึ้นแทน ชาวเปอร์เซียซึ่งมาทางเรือก็นำเอาศาสนาอิสลามสู่ประเทศต่าง ๆ ที่แวะผ่าน เช่น แหลมมาลายู อินโดนีเซียและบางส่วนของฟิลิปินส์
         


http://www.tourtooktee.com/info_topic.asp?nID=994
http://www.thaimuslim.com/overview.php?c=3&id=6141